ประวัตินายต๋อง



สวัสดีครับ เพื่อนๆ ทั้งเพื่อนๆ ที่ติดตามการทำงานต่างๆ ของผม และเพื่อนใหม่ที่เราพึ่งรู้จักกันนะครับ เนื่องจากเว็บบล็อกนี้ ผมได้ตกลงกับพี่หนุ่ม ถึงการบรรยายแบบสบายๆ ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน จึงขอเล่าประวัติส่วนตัว เป็นอีกสไตล์สบายๆ นะครับ

ผมเกิดในครอบครัวคนจีน เป็นลูกคนโต มีน้องสาวอีก 2 คน คนแรกจบปริญญาตรี วิทยาลัยครูจันทร์เกษม ปัจจุบันมาทำงานช่วยสามี ส่วนคนเล็กจบปริญญาตรีที่ มศว.ประสานมิตร และจบปริญญาโท-เอก ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้า ธนบุรี ส่วนผมจบปริญญาตรี ภาควิชาฟิสิกส์ สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้า ธนบุรี โดยระหว่างที่เรียนก็ลงวิชาเรียนเพิ่มเติมของ วิศวกรรมไฟฟ้ากำลัง และวิศวกรรมอุตสาหการ ด้วยเทคนิคลงเรียนทุกซัมเมอร์ ไม่เคยหยุด

เรียนอนุบาลถึง ประถม 2 ที่ ร.ร.ปิ่นวัฒนา (ซอยไสวสุวรรณ - ก.ท.ม.) ไปต่อจนถึงประถม 4 ที่ ร.ร.พระแม่สกลสงเคราะห์ (บางบัวทอง - นนทบุรี) กลับมาเรียนที่ ร.ร.ปิ่นวัฒนา อีกครั้งจนจบ ประถม 6 แล้วสอบเข้าเรียนที่ ร.ร.โยธินบูรณะ (ก.ท.ม.) ตั้งแต่ ม.1 - ม.6 สอบเอ็นทรานซ์เข้าพระจอมเกล้า ธนบุรี จบมาก็ทำงาน 9 ปี เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยเลยนะครับ 10 แห่ง เพราะต้องการแสวงหาที่ทำงานเชิงอุดมคติ เป็นคนบ้างาน เบียดบังเวลานอน มีความรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเอง เหลือเวลาน้อย ต้องรีบเร่งไปหมด งง ตัวเองเหมือนกัน บ้างานไม่ได้นอน (งีบนอน นอนน้อย 1-2 ชม.) ประมาณวันที่ 3 ที่นอนน้อยมาก จนขับรถเอง หลับใน รถคว่ำ กระเด็นออกมานอกรถ กลายเป็นคนพิการ ทุพพลภาพ (สิ้นเชิงถาวร) กลายเป็นต้องแปลงร่างไปซะแล้ว

ระหว่างที่เรียนอยู่พระจอมเกล้า ธนบุรี หรือบางมด ผมมักจะคิดเสมอว่า จะเป็นตัวเองให้มากที่สุด เพื่อหาเพื่อนตาย บางคนเรียกเพื่อนแท้ ทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ เพื่อนน้อย แต่ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันนะครับ โดยเฉพาะรุ่นพี่ผม 1 รุ่น ต้องเรียกว่า ซี้กันเลย คืมอ ผมไปไหนมาไหนกับรุ่นพี่มากพอสมควร กลมกลืนกับรุ่นพี่ไปเลย จนรุ่นพี่บอกว่า ผมน่าจะอยู่รุ่นพี่มากกว่ารุ่นตัวเอง พี่หนุ่มก็เป็นรุ่นพี่ ในรุ่นด้วย ซึ่งตอนที่เรียนด้วยกันนั้น ไม่ค่อยสนิท ผมจะไปสนิทอีกกลุ่มหนึ่ง หลังจบออกมาก็เริ่มมาติดต่ออีกครั้ง ตอนที่ผมซื้อแอร์ มาใช้ในงานของบริษัทตัวเอง ติดต่อพี่หนุ่มเป็นระยะๆ ซื้อแอร์กันเป็นระยะๆ เช่นกัน เพราะว่าหลังจากที่ผมต้องกลายเป็นคนพิการแล้ว ผมก็ได้เปิดบริษัทรับติดตั้งงานด้านโทรคมนาคมเองเลย จึงต้องใช้แอร์เป็นระยะๆ  

จากนั้นไม่นาน ผมก็เลิกกิจการ และเริ่มสนใจงานด้านอินเตอร์เน็ต และศึกษาหาความรู้ทางด้านนี้อย่างจริงจัง ปัจจุบันนำความรู้มาจัดอบรมให้กับคนพิการ และผู้สูงอายุ ในโครงการต่างๆ ในที่สุดการที่มีองค์ความรู้ด้านอินเตอร์เน็ตนั้น กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเลี้ยงชีพ ที่สำคัญอินเตอร์สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแทบทุกธุรกิจทั้งในประเทศไทย และในระดับโลก แทบทุกประเภทของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องมีเว็บไซต์ และโปรโมท ในอินเตอร์เน็ต จึงถือว่าถูกทาง ที่ผมได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้

ผมลืมเล่าให้ฟังว่า ก่อนผมรถคว่ำ ประมาณ 5 ปี ผมได้จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์เม็ด จนรถคว่ำจึงได้เลิก เพราะไม่สะดวกที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เนื่องจากการขายปุ๋ยในระยะต้นนี้ เราโนเนม เราจึงต้องพยายามเข้าถึงเกษตรกร เคยตั้งใจว่าจะทำจนอยู่กับที่ แล้วมีตัวแทน มีออเดอร์ตลอด จนกระทั่งมาทราบว่า พี่หนุ่ม ซึ่งทำธุรกิจแอร์ กลับมาสนใจเรื่องการเกษตร โดยเป็นตัวแทนของไฮโกร (ซึ่งในความจริงเป็นธุรกิจ MLM) แรกๆ ผมก็กังวลใจ แต่โดยวิธีคิดของอัพไลน์ของพี่หนุ่ม รวมถึงตัวพี่หนุ่มนั้น มองว่าตัวสินค้าไฮโกร ก็ขายไป ใครอยากได้ส่วนลดก็ค่อยสมัครสมาชิก ถ้าทำอย่างนี้ผมโอเค เอาด้วย และกล้าประชาสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ต ด้วยครับ จึงได้ตัดสินใจทำเว็บบล็อกที่จะใช้งานร่วมกันกับพี่หนุ่ม ซึ่งก็คือเว็บบล็อกที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้นะครับ

และสำหรับการตัดสินใจทำธุรกิจด้านนี้ ผมก็ถือโอกาสทำอีก 2 งานควบคู่กันไป คือการปลูกสวนไผ่ และช่วยเหลือเกษตรกร โดยจะนำไฮไลฟ์โกรไปทดลองใช้ในสวนไผ่ ที่จะปลูก คือใช้ทั้งไฮไลฟ์โกร ซึ่งเป็นน้ำ ผมกับพี่หนุ่มนิยามไฮไลฟ์โกรว่า "ไฮไลฟ์โกร 3 อิน 1" เพราะมันทำหน้าที่ 3 อย่างพร้อมๆ กัน และก็ใช้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด และผมก็มั่นใจว่า สวนไผ่ที่ปลูกและผลการใช้งานของเกษตรกร จะน่าสนใจสำหรับเพื่อนๆ ผู้อ่านทุกท่านนะครับ เพราะงานด้านนี้จะเป็นอีกงานที่ผมตั้งใจทำ และทุ่มเวลา เออ.... หมายถึงแบ่งเวลามาทำงานด้านนี้ครับ

โดยแนวคิด ผมก็อยากช่วยเหลือผู้อื่นอยู่แล้วดังนั้น ผมจะเน้นให้ทุกคนที่รู้จัก สามารถมีรายได้พอประมาณ และมีความสุขกับการมีรายได้ บวกกับที่ผมปลูกไผ่นั้น เพราะผมอยากให้คนพิการรวมตัวกันทำสวนไผ่ และแนะนำ หรือนำเสนอ ให้กับชาวบ้านในพื้นที่น้ำท่วม สามารถอ่านบทความผมกว่า 1,000 บทความ ด้วยการ Search ในอินเตอร์ คำว่า "ปรีดา ลิ้มนนทกุล) จะเจอบล็อกของผม คลิ๊กลำดับไหนก็ได้ครับ

หวังใจว่า ทุกท่านคงได้แรงบันดาลใจไปบ้างนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น